อิ๊กซี่ (ICSI) คือเทคนิคช่วยการเจริญพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์สำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพหรือจำนวนอสุจิ บทความนี้ Genesis Fertility Center (GFC) จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทคนิคการทำ ICSI หรืออิ๊กซี่ ว่ามีขั้นตอนอย่างไร และมีประโยชน์ และเหมาะกับใครบ้าง
การทำอิ๊กซี่ (ICSI) คืออะไร
การทำอิ๊กซี่ ICSI หรือ Intracytoplasmic Sperm Injection คือ กระบวนการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการที่แตกต่างจากวิธี IVF แบบมาตรฐาน แทนที่จะปล่อยให้อสุจิและไข่ผสมกันเองในจานเพาะเลี้ยง นักวิทยาศาสตร์จะใช้เครื่องมือพิเศษที่มีความแม่นยำสูงเลือกอสุจิเพียงตัวเดียวที่ดีที่สุด แล้วใช้เข็มขนาดเล็กมากฉีดอสุจินั้นเข้าไปในไข่โดยตรง
วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาในกรณีที่อสุจิไม่สามารถเจาะผ่านเปลือกไข่ได้เอง หรือในกรณีที่มีจำนวนอสุจิน้อยมาก ทำให้โอกาสการปฏิสนธิตามธรรมชาติเป็นไปได้ยาก การทำ ICSI จึงเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับคู่รักที่มีปัญหาเกี่ยวกับภาวะมีบุตรยาก
การทำ ICSI เหมาะกับใคร
การทำ ICSI เหมาะสำหรับหลายกรณี ได้แก่
- ผู้ชายที่มีปัญหาเกี่ยวกับอสุจิ เช่น จำนวนอสุจิน้อยกว่าปกติ (Oligospermia) อสุจิเคลื่อนที่ได้ไม่ดี (Asthenospermia) หรืออสุจิมีรูปร่างผิดปกติ (Teratospermia)
- ผู้ที่มีประวัติการทำ IVF ไม่สำเร็จ โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาการปฏิสนธิหรืออัตราการปฏิสนธิต่ำในการทำ IVF ด้วยวิธีปกติ
- คู่สมรสที่เคยรักษาโดยเทคโนโลยีที่ช่วยการเจริญพันธุ์มาแล้วแต่ไม่สำเร็จ
- ผู้ชายที่มีปัญหาท่อนำอสุจิอุดตัน ในกรณีนี้อาจต้องใช้วิธีการเก็บอสุจิโดยตรงจากอัณฑะหรือท่อน้ำอสุจิ (TESE หรือ PESA) ร่วมกับการทำ ICSI
- ผู้ชายที่มีภาวะแอนตี้บอดี้ต่ออสุจิ ซึ่งทำให้อสุจิไม่สามารถเจาะผ่านเปลือกไข่ได้
- คู่รักที่มีภาวะมีบุตรยากโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งการทำ ICSI อาจช่วยเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิได้
- การใช้อสุจิแช่แข็ง ในกรณีที่ใช้อสุจิที่ผ่านการแช่แข็ง ซึ่งอาจมีความสามารถในการเคลื่อนที่ลดลง
- การตรวจวินิจฉัยพันธุกรรมก่อนการฝังตัว (PGT) ในกรณีที่ต้องการตรวจสอบความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อน
- คู่สมรสที่ฝ่ายชายเป็นหมัน หรือทำหมันแล้วอยากมีลูกอีก
- คู่สมรสที่ฝ่ายหญิงมีประวัติแท้งหลายครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ
- คู่สมรสที่มีโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรค ธารลัสซีเมีย (Thalassemia)
- คู่สมรสที่ฝ่ายหญิงมีอายุมากกว่า 35 ปี
การทำอิ๊กซี่ (ICSI) มีขั้นตอนอย่างไร

กระบวนการทำ ICSI มีขั้นตอนหลักดังนี้
1. กระตุ้นไข่
ขั้นแรก ผู้หญิงจะได้รับฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่หลายใบก่อน จากนั้นแพทย์จะติดตามการเจริญเติบโตของไข่ด้วยการอัลตราซาวนด์ และตรวจระดับฮอร์โมนในเลือดอย่างสม่ำเสมอ โดยกระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 8-14 วัน
2. เก็บไข่
เมื่อไข่เจริญเติบโตได้ขนาดที่เหมาะสม แพทย์จะใช้เข็มพิเศษดูดไข่ออกจากรังไข่ผ่านทางช่องคลอดภายใต้การนำทางของเครื่องอัลตราซาวนด์ กระบวนการนี้จะทำภายใต้การให้ยาระงับความรู้สึกเพื่อให้ผู้รับการรักษารู้สึกสบายที่สุด
3. เตรียม และคัดเลือกอสุจิ
อสุจิจะถูกนำมาเตรียมไว้ในห้องปฏิบัติการ โดยนักวิทยาศาสตร์จะคัดเลือกอสุจิที่มีรูปร่าง และการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุด ซึ่งในกรณีที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพอสุจิมาก อาจจะต้องใช้เทคนิคเพื่อช่วยคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุด
4. ฉีดอสุจิเข้าไปในไข่
นักวิทยาศาสตร์จะเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดเพียง 1 ตัว เพื่อฉีดเข้าไปที่ไข่โดยตรง โดยกระบวนการนี้ทำภายใต้กล้องจุลทรรศน์พิเศษที่มีกำลังขยายสูง
5. ตรวจสอบการปฏิสนธิ
หลังจากฉีดอสุจิเข้าไปในไข่แล้ว นักวิทยาศาสตร์จะตรวจสอบการปฏิสนธิในวันถัดไป โดยดูการปรากฏของนิวเคลียสทั้งสองในไข่ (Pronuclei) ซึ่งแสดงว่าการปฏิสนธิเกิดขึ้นแล้ว
6. เลี้ยงตัวอ่อน
ตัวอ่อนที่เกิดการปฏิสนธิแล้วจะถูกเลี้ยงในห้องปฏิบัติการเป็นเวลา 3-5 วัน ในสภาวะที่ควบคุมอย่างเข้มงวด โดยนักวิทยาศาสตร์จะติดตามการเจริญเติบโตและคุณภาพของตัวอ่อนอย่างใกล้ชิด
7. ย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก
ตัวอ่อนคุณภาพดีที่สุดจะถูกย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก กระบวนการนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที
8. ตรวจการตั้งครรภ์
หลังจากย้ายตัวอ่อนแล้วประมาณ 10-12 วัน จะมีการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน HCG (Human Chorionic Gonadotropin) เพื่อตรวจสอบว่าการตั้งครรภ์เกิดขึ้นหรือไม่
ข้อดีของการทำ ICSI

การทำ ICSI มีข้อดีหลายประการ ได้แก่
- เพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพหรือจำนวนอสุจิ การฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรงช่วยข้ามขั้นตอนการที่อสุจิต้องเจาะผ่านเปลือกไข่เอง
- ใช้ได้กับอสุจิจำนวนน้อย แม้จะมีอสุจิเพียงไม่กี่ตัว ก็สามารถทำ ICSI ได้ ทำให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีจำนวนอสุจิน้อยมาก
- เพิ่มอัตราการปฏิสนธิ เมื่อเทียบกับ IVF แบบธรรมชาติ การทำ ICSI มีอัตราการปฏิสนธิที่สูงกว่า (ประมาณ 70-85% เทียบกับ 50-60%)
- ลดความเสี่ยงของการไม่เกิดการปฏิสนธิ ซึ่งเป็นปัญหาที่อาจพบในการทำ IVF แบบปกติ โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพอสุจิ
- ICSI สามารถตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนได้ การทำ ICSI ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ เช่น ดาวน์ซินโดรม หรือธาลัสซีเมีย
ภาวะแทรกซ้อนของการทำ ICSI

การทำ ICSI อาจมีภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ IVF มากกว่าเทคนิค ICSI โดยตรง ดังนี้
- ภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (OHSS)
เกิดจากการตอบสนองต่อฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่มากเกินไป ทำให้เกิดอาการปวดท้อง บวมน้ำ และในกรณีรุนแรงอาจส่งผลต่อการทำงานของไตและระบบหายใจ
- ผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจ
กระบวนการรักษาที่ยาวนานและมีความไม่แน่นอนอาจก่อให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้าได้
อัตราความสําเร็จของการทํา ICSI
อัตราความสำเร็จของการทำ ICSI ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยอายุของผู้หญิงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่
- คุณภาพของไข่ และอสุจิ
- สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก
- ประวัติการตั้งครรภ์ที่ผ่านมา
- ประสบการณ์และความชำนาญการของทีมแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์
โดยทั่วไป อัตราความสำเร็จ (อัตราการคลอดมีชีพ) ของการทำ ICSI มีดังนี้
- ผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี ประมาณร้อยละ 40-50
- ผู้หญิงอายุ 35-37 ปี ประมาณร้อยละ 30-40
- ผู้หญิงอายุ 38-40 ปี ประมาณร้อยละ 20-30
- ผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี ต่ำกว่าร้อยละ 20 และลดลงอย่างมากเมื่ออายุมากขึ้น
โดยที่อัตราความสำเร็จของการทำ ICSI ของ Genesis Fertility Center (GFC) จะอยู่ที่ 74%
เมื่อเปรียบเทียบกับการทำ IVF แบบธรรมชาติ การทำ ICSI ให้อัตราความสำเร็จที่ใกล้เคียงกันในกรณีที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพหรือจำนวนอสุจิ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่คู่สมรสมีปัญหาเกี่ยวกับอสุจิ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนน้อย การเคลื่อนไหวไม่ดี หรือรูปร่างผิดปกติ การทำ ICSI มักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งนี่คือเหตุผลที่เทคนิคนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ที่ Genesis Fertility Center (GFC) เราเข้าใจดีว่าการเผชิญกับภาวะตั้งครรภ์ยากเป็นความท้าทายทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการของเราจึงพร้อมให้การดูแลและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จในการรักษา เรามุ่งมั่นที่จะให้การดูแลอย่างใกล้ชิดและครบวงจร ตั้งแต่การประเมินภาวะเจริญพันธุ์เบื้องต้น การวางแผนการรักษา ไปจนถึงขั้นตอนการติดตามผลหลังการย้ายตัวอ่อน
คุณสามารถวางใจได้ว่าเราจะอยู่เคียงข้าง และให้คำแนะนำที่เหมาะสมตลอดทุกขั้นตอนของการรักษา เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้สูงที่สุด และช่วยให้ความฝันในการมีบุตรของคุณเป็นจริงได้
การเตรียมตัวทํา ICSI

การเตรียมตัวที่ดีก่อนการทำ ICSI สามารถช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้ โดยขั้นตอนในการเตรียมตัวมีดังนี้
- ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินภาวะเจริญพันธุ์
โดยทั้งฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงควรได้รับการตรวจประเมินอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
งดการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 3 เดือนก่อนเริ่มการรักษา เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีผลต่อคุณภาพของไข่และอสุจิ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เน้นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะวิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญต่อการเจริญพันธุ์ เช่น โฟลิก กรดโอเมก้า-3 วิตามินดี และสังกะสี
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายแบบปานกลางช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน และลดความเครียด แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักเกินไป
- ลดความเครียด
ใช้เทคนิคคลายความเครียดต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ การหายใจลึกๆ หรือโยคะ เนื่องจากความเครียดอาจส่งผลต่อฮอร์โมนและกระบวนการเจริญพันธุ์
- เตรียมพร้อมด้านการเงิน
ควรวางแผนด้านการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในการทำ ICSI ซึ่งอาจสูงกว่าการทำ IVF แบบธรรมชาติ
- เตรียมพร้อมด้านจิตใจ
ต้องเข้าใจว่ากระบวนการนี้อาจใช้เวลา และไม่รับประกันความสำเร็จในครั้งแรก การเตรียมใจ และมีระบบสนับสนุนที่ดีจะช่วยให้ผ่านช่วงเวลานี้ได้ดีขึ้น
ข้อควรปฏิบัติหลังจากทำ ICSI
หลังจากการทำ ICSI และการย้ายตัวอ่อน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะใน 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการย้ายตัวอ่อน แต่ไม่จำเป็นต้องนอนราบตลอดเวลา การเคลื่อนไหวเบาๆ สามารถทำได้ และอาจช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก งดการออกกำลังกายหนัก การยกของหนัก หรือกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณท้อง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพดี ผักและผลไม้สด และน้ำดื่มที่เพียงพอ
- ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง โดยเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนซึ่งมีความสำคัญในการรักษาการตั้งครรภ์ในระยะแรก
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และบุหรี่ สิ่งเหล่านี้อาจมีผลกระทบต่อโอกาสในการตั้งครรภ์และการเจริญเติบโตของตัวอ่อน
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้องรุนแรง ไข้สูง เลือดออกทางช่องคลอด หรืออาการบวมผิดปกติ และรีบแจ้งแพทย์ทันทีหากพบอาการเหล่านี้
- ดูแลสุขภาพจิตใจ ช่วงเวลารอผลการตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดความเครียด และวิตกกังวล การพูดคุยกับคู่สมรส หรือผู้ให้คำปรึกษาอาจช่วยบรรเทาความรู้สึกเหล่านี้ได้
สรุปบทความ

การทำอิ๊กซี่ (ICSI) คือ เทคนิคช่วยการปฏิสนธิที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์สำหรับคู่รักที่มีภาวะมีบุตรยาก โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพหรือจำนวนอสุจิ วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาที่อสุจิไม่สามารถเจาะผ่านเปลือกไข่ได้เอง โดยใช้เทคนิคการฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง แม้ว่าการทำ ICSI จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีข้อควรระวังและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การเตรียมตัวที่ดี และการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จึงสามารถช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จ และลดความเสี่ยงต่าง ๆ ได้
หากคุณกำลังมองหาสถานที่ทำ ICSI ที่ได้มาตรฐาน Genesis Fertility Center (GFC) ก็พร้อมให้บริการ เรามีทีมแพทย์เฉพาะทาง และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตร และเติมเต็มความฝันของทุกครอบครัว
คำถามที่พบบ่อย
1. การทำ ICSI ใช้เวลานานเท่าไร?
ตอบ ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล
2. ICSI สำเร็จกี่เปอร์เซ็น?
ตอบ อัตราความสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 40-50% ในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี
3. หลังจากทํา ICSI กี่วันถึงจะรู้ผล?
ตอบ สามารถตรวจการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 10-12 วันหลังจากย้ายตัวอ่อน
4. ทำ ICSI ขับรถได้ไหม?
ตอบ สามารถขับรถได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไกลหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากในช่วงแรก
5. อาการหลังทํา ICSI มีอะไรบ้าง?
ตอบ อาจมีอาการปวดท้องเล็กน้อย คลื่นไส้ หรือรู้สึกอ่อนเพลีย6. ข้อแตกต่างของการทำ ICSI และ IVF
ตอบ ICSI เป็นการฉีดอสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง ส่วน IVF เป็นการปล่อยให้อสุจิ และไข่ปฏิสนธิกันเอง